stand - strong - prospery - glory
︎
ยืน ยง มั่น คง ศรี เมือง
ศักราช 142
ณ เมืองท่า ปากแม่น้ำ ที่โอบไปด้วยเนินเขา
ทั้งเดือนนี้ ตลาดใจกลางเมืองถูกปิดและย้ายไปที่อื่น เพื่อเตรียมการจัดพิธีกรรม
หลุมใหญ่ขนาดผ่าศูนกลางกว้างห้าเมตร ลึกลงไปในดิน หกเมตร ถูกขุดขึ้น
ทหารไร้เครื่องแบบทั้งกอง เดินไปรอบๆ เมือง และ ตีนเขา, ตะโกนขานชื่อ “ยืน” “ยง” “มั่น” “คง” “ศรี” และ “เมือง”
พวกเขาพาเหล่าคนที่ขานรับชื่อที่ได้เรียก มาเฉลิมฉลองด้วยมื้ออาหารมื้อใหญ่
ในเช้าวันถัดไป ชาวบ้านจากทั่วทั้งเมืองมารวมตัวดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในพิธีกรรม
ยืน ยง มั่น คง ศรี เมือง ซึ่งประกอบไปด้วย เด็ก คนแก่ ชาวเขา ทหารใหม่ ทหารเก่า และ หญิงตั้งครรถ์ พากันเดินลงไปในหลุมลึก
ทั้งหกคนนั่งรอภายในหลุม และ เฝ้าคอยถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ด้านบนหลุมมีเสาหลักขนาดกว้างเท่าปากหลุม และ สูงไปเท่าหนึ่งของความลึกหลุม
เสียงกลองที่ลอดมาในหลุม บอกทุกคนถึง ขั้นตอนของพิธีกรรมที่กำลังจะสิ้นสุด
เสียงฟาดกลองสุดท้าย ตามมากับแสงที่หลี่ลง
เสาใหญุ่ถูกปล่อยลง หวังบดกายทั้งหก ส่งจิตพวกเขาให้กลายเป็นผีเมือง
เสียง ตึงงง! ดังลั่นในความมืด
เสียงสะอื้นเบา ก้อง อยู่ในพื้นที่เล็กๆ
ความกลัว ความเจ็บปวด ผิวสัมผัส เป็นสิ่งที่เขากำลังทำความเข้าใจ
กับความตายที่พวกเขาเชื่อว่า พวกเขากำลังเผชิญ
แต่แล้ว อยู่ๆก็มีแสงลอดผ่านกำแพงดิน
แสงลอดส่องเพดานหลุม เห็นว่ามีคานไม้กั้นเสาไม่ให้ทับพวกเขา
จากนั้นกำแพงดินนั้นถูกเปิดออก
แสงตะเกียงจ้าส่องออกมาจากห้องนั้น เชื้อเชิญพวกเขาเข้าไปข้างใน
บุคคลนิรนามในห้องนั้น ก็ได้เล่าอธิบายบางอย่าง
บางอย่างซึ่งมีใจความว่า ชื่อของพวกเขาได้ตาย
ซึ่งพรรณนาอีกต่อหนึ่ง จับใจความได้ว่าพวกเขาได้เป็นอมตะ
ผู้คนในห้องปะทุไปด้วยอารมณ์ที่ไม่สุก
การทิ้งท้าย โกรธ แค้น ความไม่เข้าใจ ความหวัง คำถาม!
อารมณ์ที่ไม่สุกนำพาให้กลั่น การถกเถียงที่เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีคำตอบ
รู้ตัวอีกที บุคคลนิรนามก็หายไปจากห้อง
ไม่ทิ้งไว้แม้แต่ เจตจำนง หรือ ภารกิจใดๆ
พวกเขาโกรธและปะทะกันเอง
นานพอที่จะรับรู้ได้เองว่า
กายเขาเจ็บปวด แต่ไม่มีบาดแพล
ไม่มีใครรู้ว่าพวกว่า เขาอยู่ในห้องนั้นกันนานแค่ไหน
และ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาทำอะไร อยู่ที่ไหน หลังจากนั้น
︎︎
︎
หลายสิบปีให้หลัง
“ซึ่งไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเปล่า”
โชคชะตาคงอยากให้เขาได้เจอกันอีก!
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผู้เป็นอมตะสองคนในหกคน ยืนกรานจะอยู่ในเมืองนี้ ด้วยเห็นผลว่า กลัวว่าเมืองนี้จะไม่มี ”ผีเมือง” ส่วนอีกสี่คนต่างพากันกระจัดกระจายออกไป
หลายสิบปีให้หลัง เมืองใหญ่สองเมืองในแถบนี้ได้ก่อสงคราม ทำให้เจ้านายและทหารย้ายออกไปจากเมืองท่าแห่งนี้
ในคืนหนึ่งหลังจากนั้นเมืองท่าแห่งนี้ส่องสว่างด้วยไฟจากผู้รุกรานที่เข้ามาเผา และ หวังจะเหี้ยนเมืองนี้ให้ราบ
แปลกที่ผู้รุกรานไม่แม้แต่จะเกฏเชลยศึก ไม่มีใครรู้เหตุผล แม้แต่ผู้กระทำก็ตาม
คงเป็นเพราะพวกมัน คือพวกทหารหนีทัพที่ไร้ธรรม หรือ โดนผีปีศาจเข้าสิง? ไม่มีใครว่างพอที่จะถามคำถามพวกนี้
แม่แต้ผู้เป็นอมตะทั้งสอง ก็ไม่ว่างจากการช่วยชาวบ้านอีกคน และอีกคน
โดยที่พอไปช่วยอีกคน อีกคนก็ตาย ไปเป็นทอดๆ
เหล่าชาวบ้านพนมมือโชกเลือดโชกเหงื่อ คร่ำครวญขอให้ผีเมืองมาช่วย
เสียงคร่ำครวญและมือพนม ไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากส่งเสียงคร่ำครวญ ดังก้องไปในหูของ เหล่าผู้เป็นอมตะที่ผ่านตำแหน่งผีเมือง
โศกนาฏกรรมได้จบลงในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่เสียงคร่ำครวญปางตาย เรียกหาลูก เรียกหาพ่อแม่ ยืดยาวไปได้อีก สองวัน
เมืองท่าที่ล้อมไปด้วยหุบเขาราบ บ้านเรือนราบเป็นหน้ากลอง และ เต็มไปด้วยศพ
/
มีกองพ่อค้าคาราวานเล่าให้ฟังว่า
เขาผ่านเมืองนี้อยู่บ่อยๆ คงสักสองอาทิตย์หลังจากเหตุการณ์
เขาก็ผ่านมาเส้นทางนี้ ธรรมดาจากเนินเขาจะเห็นวิวเมืองได้ทั้งเมือง มันสวยมาก
แต่ในครั้งนี้ภาพไม่น่ามองเลย ถึงแม้ไม่มองกลิ่นสาปก็คลุ้งมาถึงเนินเขาอยู่ดี
กองพ่อค้าคาราวานพรรณาถึงกลิ่นและจะไปใช้เส้นทางอื่นสักพัก
ในบทพรรณา พ่อค้าก็ได้พูดถึง ชาวบ้าน 6 คน ในกองซาก ที่เขาได้ชำเลืองเห็น
ก็ไม่รู้พวกมันทนกลิ่นสาปเข้าไปได้อย่างไร
︎
หลายร้อยปีให้หลัง
“ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกันไหม”
นักโบราณคดีหญิง คนหนึ่งกำลังขุดลึกลงไปในอุโมงค์ของกองทัพญี่ปุ่นในกรุงเทพ
ก่อนจะมาถึงจุดนี้เธอขุดผ่านโถงใต้ดินอันอื้อฉาวของราชวงศ์ แต่เธอไม่โดนอะไรเพราะเธอขุดผ่านมาจากห้องประปาในที่จอดรถใต้ดินของโรงพยาบาลชื่อดัง
น่าสนใจที่ชั้นดินที่มีอยู่จำกัด เต็มไปด้วยเรื่องเล่าในประวัติศาสตร์ แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอสนใจ! แต่สิ่งที่เธอสนใจห่างเธอไปเพียงแค่หนึ่งกำแพงดิน!
มือของเธอที่จับพลั่ว ออกแรงหั่นไปที่กำแพง!
แล้วเธอพบว่าตัวเองมาอยู่ที่โพลงใต้ดิน
โพลงใต้ดินสูง 4 เมตร กว้าง 5 เมตร ในโพลงมีอากาศเย็นลอดเข้ามาพอให้หายใจได้สะดวก
ในโพลงมีชายสองคนยืนอยู่ที่สุดโพลง
เธอไม่ทันได้ตกใจหรือสงสัย ชายสองคนนั้นก็ลากเธอเข้าบทสนทนาที่ยืดเยื้อทันที
บทสนทนาวนเวียนอยู่แค่สองคำถาม หาอะไร? และ รู้ไปทำไม?
บทสนทนาดูไม่ได้จะขับเคลื่อนไปไหน
หากถามว่าบทสนทนายาวแค่ไหน
มันคงยาวเท่า “ความต่อต้านในความอยากรู้อยากเห็นเมื่อ เจ็ดร้อยปีที่แล้ว” มาคุยกับ “ความอยากรู้อยากเห็นในวันนี้”
ทรัพยากรในการสนทนาไม่เท่าเทียมเอาเสียเลยเพราะ อีกฝ่ายเป็นอมตะ ส่วนอีกฝ่ายเป็นคน ซึ่งกำลังจะเข้าสู่วัยกลางคนด้วยซ้ำ
แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอยอมแพ้
/
แม่บ้าน หรือ แม่ หรือ คนที่เธอคุย
เคยเล่าให้ฟังถึงโต๊ะทำงานของเธอ ที่กำลังกินพื้นที่ห้องนอนเยอะขึ้นเรื่อยๆ
และโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยกระดาษ
“ที่จริงก็เคยสนใจและลองอ่านมันดูนะ”
แรกๆก็เหมือนเดาได้และอ่านออก แต่ยิ่งใหม่ขึ้นมันก็อ่านไม่รู้เรื่อง
พอจะติดตามอ่านอันแรกๆ ก็ไม่รู้ว่าแผ่นไหนแล้ว
ยิ่งอันใหม่ประโยคแทบจะกลายเป็นเส้นตรงเลย
︎
ยืน ยง มั่น คง ศรี เมือง
ศักราช 142
ณ เมืองท่า ปากแม่น้ำ ที่โอบไปด้วยเนินเขา
ทั้งเดือนนี้ ตลาดใจกลางเมืองถูกปิดและย้ายไปที่อื่น เพื่อเตรียมการจัดพิธีกรรม
หลุมใหญ่ขนาดผ่าศูนกลางกว้างห้าเมตร ลึกลงไปในดิน หกเมตร ถูกขุดขึ้น
ทหารไร้เครื่องแบบทั้งกอง เดินไปรอบๆ เมือง และ ตีนเขา, ตะโกนขานชื่อ “ยืน” “ยง” “มั่น” “คง” “ศรี” และ “เมือง”
พวกเขาพาเหล่าคนที่ขานรับชื่อที่ได้เรียก มาเฉลิมฉลองด้วยมื้ออาหารมื้อใหญ่
ในเช้าวันถัดไป ชาวบ้านจากทั่วทั้งเมืองมารวมตัวดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในพิธีกรรม
ยืน ยง มั่น คง ศรี เมือง ซึ่งประกอบไปด้วย เด็ก คนแก่ ชาวเขา ทหารใหม่ ทหารเก่า และ หญิงตั้งครรถ์ พากันเดินลงไปในหลุมลึก
ทั้งหกคนนั่งรอภายในหลุม และ เฝ้าคอยถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ด้านบนหลุมมีเสาหลักขนาดกว้างเท่าปากหลุม และ สูงไปเท่าหนึ่งของความลึกหลุม
เสียงกลองที่ลอดมาในหลุม บอกทุกคนถึง ขั้นตอนของพิธีกรรมที่กำลังจะสิ้นสุด
เสียงฟาดกลองสุดท้าย ตามมากับแสงที่หลี่ลง
เสาใหญุ่ถูกปล่อยลง หวังบดกายทั้งหก ส่งจิตพวกเขาให้กลายเป็นผีเมือง
เสียง ตึงงง! ดังลั่นในความมืด
เสียงสะอื้นเบา ก้อง อยู่ในพื้นที่เล็กๆ
ความกลัว ความเจ็บปวด ผิวสัมผัส เป็นสิ่งที่เขากำลังทำความเข้าใจ
กับความตายที่พวกเขาเชื่อว่า พวกเขากำลังเผชิญ
แต่แล้ว อยู่ๆก็มีแสงลอดผ่านกำแพงดิน
แสงลอดส่องเพดานหลุม เห็นว่ามีคานไม้กั้นเสาไม่ให้ทับพวกเขา
จากนั้นกำแพงดินนั้นถูกเปิดออก
แสงตะเกียงจ้าส่องออกมาจากห้องนั้น เชื้อเชิญพวกเขาเข้าไปข้างใน
บุคคลนิรนามในห้องนั้น ก็ได้เล่าอธิบายบางอย่าง
บางอย่างซึ่งมีใจความว่า ชื่อของพวกเขาได้ตาย
ซึ่งพรรณนาอีกต่อหนึ่ง จับใจความได้ว่าพวกเขาได้เป็นอมตะ
ผู้คนในห้องปะทุไปด้วยอารมณ์ที่ไม่สุก
การทิ้งท้าย โกรธ แค้น ความไม่เข้าใจ ความหวัง คำถาม!
อารมณ์ที่ไม่สุกนำพาให้กลั่น การถกเถียงที่เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีคำตอบ
รู้ตัวอีกที บุคคลนิรนามก็หายไปจากห้อง
ไม่ทิ้งไว้แม้แต่ เจตจำนง หรือ ภารกิจใดๆ
พวกเขาโกรธและปะทะกันเอง
นานพอที่จะรับรู้ได้เองว่า
กายเขาเจ็บปวด แต่ไม่มีบาดแพล
ไม่มีใครรู้ว่าพวกว่า เขาอยู่ในห้องนั้นกันนานแค่ไหน
และ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาทำอะไร อยู่ที่ไหน หลังจากนั้น
︎︎
︎
หลายสิบปีให้หลัง
“ซึ่งไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเปล่า”
โชคชะตาคงอยากให้เขาได้เจอกันอีก!
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผู้เป็นอมตะสองคนในหกคน ยืนกรานจะอยู่ในเมืองนี้ ด้วยเห็นผลว่า กลัวว่าเมืองนี้จะไม่มี ”ผีเมือง” ส่วนอีกสี่คนต่างพากันกระจัดกระจายออกไป
หลายสิบปีให้หลัง เมืองใหญ่สองเมืองในแถบนี้ได้ก่อสงคราม ทำให้เจ้านายและทหารย้ายออกไปจากเมืองท่าแห่งนี้
ในคืนหนึ่งหลังจากนั้นเมืองท่าแห่งนี้ส่องสว่างด้วยไฟจากผู้รุกรานที่เข้ามาเผา และ หวังจะเหี้ยนเมืองนี้ให้ราบ
แปลกที่ผู้รุกรานไม่แม้แต่จะเกฏเชลยศึก ไม่มีใครรู้เหตุผล แม้แต่ผู้กระทำก็ตาม
คงเป็นเพราะพวกมัน คือพวกทหารหนีทัพที่ไร้ธรรม หรือ โดนผีปีศาจเข้าสิง? ไม่มีใครว่างพอที่จะถามคำถามพวกนี้
แม่แต้ผู้เป็นอมตะทั้งสอง ก็ไม่ว่างจากการช่วยชาวบ้านอีกคน และอีกคน
โดยที่พอไปช่วยอีกคน อีกคนก็ตาย ไปเป็นทอดๆ
เหล่าชาวบ้านพนมมือโชกเลือดโชกเหงื่อ คร่ำครวญขอให้ผีเมืองมาช่วย
เสียงคร่ำครวญและมือพนม ไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากส่งเสียงคร่ำครวญ ดังก้องไปในหูของ เหล่าผู้เป็นอมตะที่ผ่านตำแหน่งผีเมือง
โศกนาฏกรรมได้จบลงในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่เสียงคร่ำครวญปางตาย เรียกหาลูก เรียกหาพ่อแม่ ยืดยาวไปได้อีก สองวัน
เมืองท่าที่ล้อมไปด้วยหุบเขาราบ บ้านเรือนราบเป็นหน้ากลอง และ เต็มไปด้วยศพ
/
มีกองพ่อค้าคาราวานเล่าให้ฟังว่า
เขาผ่านเมืองนี้อยู่บ่อยๆ คงสักสองอาทิตย์หลังจากเหตุการณ์
เขาก็ผ่านมาเส้นทางนี้ ธรรมดาจากเนินเขาจะเห็นวิวเมืองได้ทั้งเมือง มันสวยมาก
แต่ในครั้งนี้ภาพไม่น่ามองเลย ถึงแม้ไม่มองกลิ่นสาปก็คลุ้งมาถึงเนินเขาอยู่ดี
กองพ่อค้าคาราวานพรรณาถึงกลิ่นและจะไปใช้เส้นทางอื่นสักพัก
ในบทพรรณา พ่อค้าก็ได้พูดถึง ชาวบ้าน 6 คน ในกองซาก ที่เขาได้ชำเลืองเห็น
ก็ไม่รู้พวกมันทนกลิ่นสาปเข้าไปได้อย่างไร
︎
หลายร้อยปีให้หลัง
“ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกันไหม”
นักโบราณคดีหญิง คนหนึ่งกำลังขุดลึกลงไปในอุโมงค์ของกองทัพญี่ปุ่นในกรุงเทพ
ก่อนจะมาถึงจุดนี้เธอขุดผ่านโถงใต้ดินอันอื้อฉาวของราชวงศ์ แต่เธอไม่โดนอะไรเพราะเธอขุดผ่านมาจากห้องประปาในที่จอดรถใต้ดินของโรงพยาบาลชื่อดัง
น่าสนใจที่ชั้นดินที่มีอยู่จำกัด เต็มไปด้วยเรื่องเล่าในประวัติศาสตร์ แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอสนใจ! แต่สิ่งที่เธอสนใจห่างเธอไปเพียงแค่หนึ่งกำแพงดิน!
มือของเธอที่จับพลั่ว ออกแรงหั่นไปที่กำแพง!
แล้วเธอพบว่าตัวเองมาอยู่ที่โพลงใต้ดิน
โพลงใต้ดินสูง 4 เมตร กว้าง 5 เมตร ในโพลงมีอากาศเย็นลอดเข้ามาพอให้หายใจได้สะดวก
ในโพลงมีชายสองคนยืนอยู่ที่สุดโพลง
เธอไม่ทันได้ตกใจหรือสงสัย ชายสองคนนั้นก็ลากเธอเข้าบทสนทนาที่ยืดเยื้อทันที
บทสนทนาวนเวียนอยู่แค่สองคำถาม หาอะไร? และ รู้ไปทำไม?
บทสนทนาดูไม่ได้จะขับเคลื่อนไปไหน
หากถามว่าบทสนทนายาวแค่ไหน
มันคงยาวเท่า “ความต่อต้านในความอยากรู้อยากเห็นเมื่อ เจ็ดร้อยปีที่แล้ว” มาคุยกับ “ความอยากรู้อยากเห็นในวันนี้”
ทรัพยากรในการสนทนาไม่เท่าเทียมเอาเสียเลยเพราะ อีกฝ่ายเป็นอมตะ ส่วนอีกฝ่ายเป็นคน ซึ่งกำลังจะเข้าสู่วัยกลางคนด้วยซ้ำ
แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอยอมแพ้
/
แม่บ้าน หรือ แม่ หรือ คนที่เธอคุย
เคยเล่าให้ฟังถึงโต๊ะทำงานของเธอ ที่กำลังกินพื้นที่ห้องนอนเยอะขึ้นเรื่อยๆ
และโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยกระดาษ
“ที่จริงก็เคยสนใจและลองอ่านมันดูนะ”
แรกๆก็เหมือนเดาได้และอ่านออก แต่ยิ่งใหม่ขึ้นมันก็อ่านไม่รู้เรื่อง
พอจะติดตามอ่านอันแรกๆ ก็ไม่รู้ว่าแผ่นไหนแล้ว
ยิ่งอันใหม่ประโยคแทบจะกลายเป็นเส้นตรงเลย